เป็นธรรมดาที่เด็กเล็กจะมีความวิตกตกกังวลต่อการแยกจาก (separation anxiety) เมื่อเจอกับสถานการณ์ที่ต้องแยกจากกัน ซึ่งความวิตกตกกังวลต่อการแยกจาก (separation anxiety) นี้เป็นหนึ่งในลำดับขั้นของพัฒนาการปกติของเด็ก โดยเด็กจะเข้าใจและมีวิธีจัดการได้เองโดยธรรมชาติ และจะหายไปเมื่อเด็กเติบโตขึ้น แต่อย่างไรก็ตามในเด็กที่เกิดความวิตกกังวลมากเกินไปหรือเมื่อโตขึ้นแล้วยังไม่หายไป และส่งผลกระทบต่อ การเข้าโรงเรียน และการทำกิจกรรมอื่นๆ อาจเนื่องมาจากปัญหาภาวะวิตกกังวลต่อการแยกจาก หรือ separation anxiety disorder ซึ่งจำเป็นต้องพบผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการช่วยเหลือต่อไป
ความวิตกตกกังวลต่อการแยกจาก (separation anxiety) สังเกตอย่างไรว่าอยู่ในช่วงปกติ หรือผิดปกติ ???
Separation anxiety เกิดขึ้นตั้งแต่ในวัยเด็กทารกหลังคลอดออกจากครรภ์มารดา จนถึงอายุ 4 ปี ซึ่งเด็กจะร้องไห้ โมโหหรืออาละวาด โดยระดับความรุนแรงและระยะเวลาของความวิตกกังวลจะมีความแตกต่างกันไปในเด็กแต่ละช่วงวัย เมื่อเด็กโตขึ้นพ่อแม่สามารถช่วยให้เด็กมีความกังวลน้อยลงได้โดยขณะอยู่กับเด็กควรให้ความรู้สึกที่มั่นคงปลอดภัย อ่อนโยน แต่หนักแน่นในการตั้งขีดจำกัดหรือการตั้งข้อตกลงต่างๆ (by gently but firmly setting limits)
ในเด็กบางคนที่ผู้ปกครองได้พยายามลดความวิตกกังวลแล้ว แต่เด็กก็ยังมีความวิตกกังวลอยู่ต่อเนื่องไปจนถึงเข้าชั้นประถม และกระทบต่อกิจกรรมการเรียนต่างๆ หรือการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน นั่นเป็นสัญญาณเตือนว่าเด็กอาจมีปัญหาภาวะวิตกกังวลจากการแยกจาก (separation anxiety disorder)
Easing normal separation anxiety in children: การลดความวิตกกังวลต่อการแยกจากในเด็กทั่วไป
- ฝึกการแยกห่าง (Practice separation) แยกเด็กออกจากผู้ดูแลในระยะเวลาสั้นๆ และไม่อยู่ห่างเด็กมากจนเกินไป
- มีตารางฝึกแยกห่างจากเด็ก หลังจากนอนกลางวันหรือหลังทานอาหาร (Schedule separation after naps or feedings) เนื่องจากในช่วงที่เด็กเหนื่อย หรือหิวจะมีภาวะวิตกกังวลต่อการแยกจากมาก ควรฝึกแยกห่างหลังจากช่วงนั้น
- ฝึกให้เด็กเรียนรู้การ “บ๊ายบาย” บอกลา (Develop a “goodbye” ritual) สอนเด็กให้ บ๊ายบาย หรือ จูบส่ง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ทำให้เด็กเรียนรู้ถึงการจากลา
- ฝึกให้เด็กเรียนรู้ความคุ้นเคย และการเปลี่ยนแปลง (Keep familiar surroundings when possible and make new surrounding familiar) เช่นให้พี่เลี้ยงเข้ามาทำความคุ้นเคยกับเด็กที่บ้าน หรือเมื่อต้องออกจากบ้านก็ให้เด็กถือของที่ชอบ หรือที่คุ้ยเคยติดมือออกไปด้วย
- ให้เด็กทำความรู้จักคุ้นเคยกับพี่เลี้ยงคนใดคนหนึ่ง (Have a consistent primary caregiver) ควรเลือกพี่เลี้ยงคนเดิมประจำ ไม่ควรเปลี่ยนบ่อย
- เวลาที่ต้องแยกจากไม่ควรทำให้เอิกเกริกเป็นพิธี (Leave without fanfare) บอกกับเด็กเพียงว่าจะต้องออกไปสักพักแล้วจะกลับมา ไม่ควรบอกลายืดเยื้อ
- อย่าให้เด็กดูโทรทัศน์เรื่องราวที่น่ากลัว (Minimize scary television) เนื่องจากจะทำให้คิดมาก และวิตกกังวล
- สร้างความเชื่อมั่นให้กับเด็ก (Try not to give in) ตั้งเงื่อนไข ข้อตกลงให้ชัดเจนก่อนการแยกจากจะช่วยให้เด็กปรับตัวได้ง่ายขึ้น
Symptoms of separation anxiety disorder in children: สัญญาณปัญหาผิดปกติของภาวะวิตกกังวลต่อการแยกจาก
ปัญหาความผิดปกติของภาวะวิตกกังวลต่อการแยกจากนั้นสังเกตได้จากความรุนแรงด้านอารมณ์ของเด็ก เมื่อต้องแยกจากผู้ดูแล แต่อย่างไรก็ตาม ค่อนข้างแยกได้ยากระหว่างความวิตกกังวลธรรมดาที่เกิดขึ้นตามวัย หรือความวิตกกังวลที่ผิดปกติจนเป็นปัญหา
ซึ่งความแตกต่างของความปกติ และความผิดปกตินั้นดูได้จากการแสดงออกถึงความกลัวอย่างรุนแรง เมื่อต้องแยกจากผู้ปกครอง เด็กอาจพูดบ่นว่าตนเองป่วย หรือไม่สบาย ไม่ยอมเล่นกับเพื่อน หรือไม่ร่วมมือในห้องเรียน หากพบว่าปัญหาเหล่านี้มีความรุนแรงมาก ควรคำนึงว่าเด็กอาจมีความผิดปกติของภาวะวิตกกังวลต่อจากการแยกจาก
Common symptoms of separation anxiety disorder (worries and fears) สัญญาณที่บอกว่าเด็กมีความผิดปกติของภาวะวิตกกังวลต่อการแยกจากในด้านความกลัว และวิตกกังวล
- เด็กกลัวว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงกับคนที่ตนเองรักที่สุด (Fear that something terrible will happen to a loved one) โดยเด็กวิตกกังวลว่าถ้าคนที่ตนเองรักที่สุดไม่อยู่ด้วยนั้นอาจเป็นเพราะเขาป่วย เกิดเรื่องร้าย หรือได้รับบาดเจ็บ
- เด็กกลัวว่าอาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันทำให้ไม่ได้พบกันอีกเลย (Worry that an unpredicted event will lead to permanent separation) เช่น เด็กกลัวว่าแม่อาจถูกลักพาตัวไปหรือหายไป
- ฝันร้ายถึงการแยกจาก (Nightmares about separation) เป็นประจำ
Common symptoms of separation anxiety disorder (refuse and sickness) สัญญาณที่บอกว่าเด็กมีความผิดปกติของภาวะวิตกกังวลต่อการแยกจากในด้านการปฏิเสธ และพูดถึงความเจ็บป่วย
- เด็กปฏิเสธการไปโรงเรียน (Refuse to go to school) เด็กเกิดความกลัวที่ไม่มีเหตุผลในการไปโรงเรียน อยากอยู่แต่บ้าน
- งอแง หรือถ่วงเวลา ไม่ยอมเข้านอน (Display reluctance to go to sleep) เด็กอาจมีภาวะนอนไม่หลับ (insomniacs) เนื่องจากกลัวการอยู่คนเดียว หรือกลัวการฝันร้ายถึงการแยกจาก
- ไม่ชอบการไปนอน เพราะจะวิตกกังวลว่าจะฝันร้ายถึงการพลัดพราก และทำให้เด็กเป็นโรคนอนไม่หลับ
- มักบ่นว่าป่วย เช่นปวดหัว หรือ ปวดท้อง (Complain of physical sickness like a headache or stomachache) เมื่อถึงเวลาที่ต้องแยกจาก
- เกาะติดผู้ดูแล (Cling to the caregiver) เด็กเกาะแขนเกาะขาผู้ดูแลตลอดไม่ยอมให้ไปไหน
Common cause of separation anxiety disorder in children: สาเหตุที่พบบ่อยของความผิดปกติในเด็กที่มีภาวะวิตกกังวลต่อการแยกจาก
ความวิตกกังวลต่อการแยกจากนั้นเกิดขึ้นเนื่องจากเด็กรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย เราสามารถช่วยเด็กได้โดยการหาสาเหตุว่าอะไรทำให้เด็กรู้สึกเช่นนั้น โดยสาเหตุส่วนใหญ่อาจมาจาก
- มีการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก (Change in environment) เช่น การเปลี่ยนบ้าน หรือโรงเรียน
- ความเครียด (Stress) ที่อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงโรงเรียน สูญเสียบุคคล หรือสัตว์อันเป็นที่รัก
- การได้รับการดูแลเอาใจใส่ที่มากเกินไป (Over-protective parent) ในบางกรณีภาวะวิตกกังวลต่อการแยกจากนั้นมีสาเหตุมาจากผู้ปกครองที่มีภาวะวิตกกังวลสูงจนเกินไป ซึ่งส่งผลถึงเด็กด้วย
Separation anxiety or trauma: เด็กมีปัญหาภาวะวิตกกังวลต่อการแยกจาก หรือว่าเกิดจากบาดแผลทางใจ หรือการได้รับผลกระทบทางจิตใจ
ถ้าหากเด็กมีภาวะวิตกกังวลต่อการแยกจากเกิดขึ้นทุกคืน อาจมีสาเหตุมาจากบาดแผลทางใจที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์บางอย่าง ซึ่งแม้ว่าอาการที่แสดงออกของทั้งสองสาเหตุนั้นจะคล้ายกัน แต่วิธีการรักษานั้นแตกต่างกัน จึงควรพิจารณาสาเหตุให้ดี
Helping children with separation anxiety disorder: การช่วยเหลือเด็กที่มีปัญหาภาวะวิตกกังวลต่อการแยกจาก
วิธีการช่วยเหลือเด็กที่มีปัญหาภาวะวิตกกังวลต่อการแยกจากได้โดยทำให้เด็กรู้สึกมั่นคงปลอดภัยมากขึ้น จัดสิ่งแวดล้อมที่บ้าน หรือที่โรงเรียนให้เด็กรู้สึกสบายใจ จะช่วยทำให้เด็กอาการดีขึ้น
Tips for dealing with separation anxiety in children: เคล็ดลับในการจัดการกับปัญหาวิตกกังวลต่อการแยกจาก
- ศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาวิตกกังวลต่อการแยกจาก (Educate yourself about separation anxiety disorder) จะสามารถช่วยให้รู้วิธีวิเคราะห์ปัญหาของเด็กได้
- รับฟังอารมณ์ความรู้สึกของเด็ก (Listen to and respect your children’s feelings) จะสามารถช่วยเยียวยาความรู้สึกของเด็กได้
- พูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น (Talk about the issue) ก็สามารถช่วยเยียวยาความรู้สึกเด็กได้ โดยเฉพาะพูดเกี่ยวกับการแยกจากครั้งล่าสุดที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไร
- วางแผนล่วงหน้าสำหรับช่วงเวลาแยกจาก (anticipate separation difficulty) เตรียมความพร้อมของผู้ปกครองก่อนที่เวลาแห่งการแยกจากจะมาถึง เช่น ไปโรงเรียน หรือไปเล่นบ้านเพื่อน ถ้าหากเด็กแยกจากผู้ปกครองคนใดง่ายกว่าก็ควรให้คนนั้นเป็นผู้ไปส่ง
Tips for helping children with separation anxiety feel safe and secure: เคล็ดลับในการจัดการความวิตกกังวลต่อการแยกจาก เพื่อทำให้เด็กรู้สึกมั่นคง และปลอดภัย
- จัดตารางเวลาของแต่ละวันให้เปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด (Provide a consistent pattern for the day) เพื่อทำให้เด็กคาดการล่วงหน้าถึงสิ่งต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ แต่หากจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ควรบอกให้เด็กรู้ล่วงหน้าก่อนทุกครั้ง
- ตั้งกฎ หรือขอบเขตเงื่อนไขให้ชัดเจน (Set limits) อธิบายให้เด็กเข้าใจว่าเรารู้ถึงความรู้สึกของเด็กที่เกิดขึ้น แต่กฎก็ต้องเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
- ให้เด็กมีโอกาสเลือก (Offer choices) เด็กอาจรู้สึกสบายใจขึ้นหากได้เป็นคนเลือกกิจกรรมต่างๆ ของตนเอง หรือเลือกได้ว่าอยากไปพบใคร
Tips for encouraging healthy separation and independence in children: เคล็ดลับในการส่งเสริมให้เด็กแยกจากได้ด้วยตนเอง
- พ่อแม่ควรแสดงท่าทีที่สงบ (Keep calm during separation) ระหว่างการแยกจาก จะทำให้เด็กไม่ตื่นกลัว
- ส่งเสริมให้เด็กมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ (Support the child’s participation in activities)
- หลังจากหยุด หรือขาดช่วงไปโรงเรียน ควรให้เด็กกลับไปโรงเรียนให้เร็วที่สุด (Help a child who has absent from school return as quickly as possible) แม้ว่าช่วงแรกอาจต้องรับเด็กกลับก่อนเวลา ก็เป็นการทำให้เด็กเรียนรู้การผ่านช่วงเวลาการแยกจากไปได้
- ชม หรือให้รางวัลเมื่อเด็กแสดงความพยายามต่างๆ (Praise your child’s efforts) ให้รางวัลเมื่อเด็กแสดงความพยายาม เช่น เข้านอนเองโดยไม่งอแง หรือโรงเรียนเขียนชมในรายงาน
Easing separation anxiety in children (Tips for school): การลดความวิตกกังวลต่อการแยกจากสำหรับโรงเรียน
- อนุญาตให้ผู้ปกครองมารับเด็กกลับก่อนเวลาได้
- อนุญาตให้เด็กมาโรงเรียนสายได้ในช่วงแรกหรือจัดให้มีห้องเล็กๆสำหรับให้ผู้ปกครองและเด็กพูดตกลงกันก่อนแยกจาก
- หาสถานที่ในโรงเรียนที่เด็กรู้สึกมั่นคงปลอดภัยเพื่อให้เด็กได้ไปคลายความเครียด และลดความวิตกกังวลของตนเองลง
- หากเด็กเกิดความเครียด หรือวิตกกังวลอาจอนุญาตให้เด็กได้โทรกลับบ้านสัก 1-2 นาที จะช่วยลดความเครียดของเด็กได้
- อาจให้พ่อแม่เขียนโน้ตสั้นๆ ติดไว้ที่กล่องข้าว กระเป๋าเสื้อ หรือตู้เก็บของเด็ก เช่น “แม่รักลูกนะ”
- ให้ความช่วยเหลือแก่เด็กในระหว่างการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน
- ให้คำชมเป็นรางวัลในการพยายามทำดีของเด็กแม้ว่าจะเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม
Combat separation anxiety in children by relieving your own stress: เริ่มต้นแก้ไขปัญหาวิตกกังวลจากการแยกจากโดยลดความเครียดของตนเอง
เด็กที่พ่อแม่มีความวิตกกังวล หรือความเครียด มีแนวโน้มที่จะทำให้เด็กจะมีปัญหาวิตกกังวลต่อการแยกจาก ดังนั้นวิธีที่จะช่วยเด็กก็คือลดความเครียดของตัวเองลง โดยมีกลวิธีแนะนำดังนี้
- พูดระบายความรู้สึกกับตนเอง (Talk about your feelings)
- ออกกำลังกาย
- ใส่ใจสุขภาพและการกิน
- ฝึกฝนเทคนิคการผ่อนคลาย (relaxation techniques) เช่น โยคะ การหายใจลึกๆ หรือนั่งสมาธิ
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- ทำตนเองให้รู้สึกสนุกสนานอยู่บ่อยๆ หรือมีอารมณ์ขัน
Red flags for anxiety separation disorder in children: สัญญาณอันตรายของปัญหาภาวะวิตกกังวลต่อการแยกจาก
- พิจารณาช่วงอายุของเด็ก กับพฤติกรรมติดแม่ อาละวาด และการงอแงเหมือนเด็ก
- การพูดบ่นว่าตนเองป่วยบ่อยๆ
- การไม่สนใจเพื่อน ครอบครัว หรือคนรอบข้าง
- การปฏิเสธการไปโรงเรียนเป็นระยะเวลาหลายสัปดาห์ติดต่อกัน
- เด็กมีความกังวลใจอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับความกลัว และความรู้สึกผิด
- เด็กมีความกลัวมากหากต้องออกจากบ้าน
ภาวะวิตกกังวลต่อการแยกจาก (Separation Anxiety Disorder) หรือโรควิตกกังวลในเด็ก (Anxiety Disorder) หรือปัญหาไม่พูดบางสถานการณ์ (Selective Mutism) หรือปัญหากังวลต่อการเข้าสังคม (Social Anxiety) หรือปัญหาความยากลำบากในการเปลี่ยนแปลง (Transition Anxiety) นั้นอาจมีความคาบเกี่ยวกับปัญหาการบูรณาการประสาทความรู้สึก (Sensory Processing Disorder) โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กที่มีลักษณะตอบสนองต่อสิ่งเร้าทางความรู้สึกที่มากเกินไป (Sensory Over-Responsive) ซึ่งเด็กอาจแสดงพฤติกรรม “ต่อสู้ หรือ ถอยหนี” (Fight or Flight behavior) ที่เกิดจากสมองไม่สามารถจัดการกับข้อมูลประสาทความรู้สึกได้ (Sensory Overload) โดยเด็กอาจแสดงพฤติกรรมหลีกหนีการสัมผัส (Tactile defensive) มีปัญหากับเนื้อผ้าที่สวมใส่ อาจมีปัญหาการกิน เดินเขย่งปลายเท้า หงุดหงิดง่าย หรือยึดติด ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง (Perfectionist)
ดังนั้นเมื่อสงสัยว่าเด็กมีปัญหาวิตกกังวลจากการแยกจาก หรือปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความวิตกกังวล จนส่งผลต่อการทำกิจกรรม หรือการเรียนรู้ตามวัยของเด็ก ควรปรึกษาจิตแพทย์เด็ก แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านพัฒนาการและพฤติกรรมเด็ก หรือนักกิจกรรมบำบัดที่มีความรู้ทางด้านการบูรณาการระบบประสาทความรู้สึก (Sensory Processing/Integration)
บรรณานุกรม
Separation Anxiety in children_http://www.helpguide.org/articles/anxiety/separation-anxiety-in-children.htm
เรียบเรียงโดย Mind Brain & Body 18 มิถุนายน 58